วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คดีห้างทอง

ทรัพย์สมบัติ "สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ" ก่อเหตุศึกสายเลือด
เมื่อครั้งที่ นัยนา ตามประกอบ (ธรรมวัฒนะ) ลูกสาวคนที่ 8 ของตระกูลเสียชีวิตขณะนั้น ... ผู้จัดการรายสัปดาห์ เซกชั่น ปริทรรศน์ ได้ทำสกู๊ปปกเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งกล่าวถึงการถูกฆ่าในตระกูลนี้ อันได้แก่ "พ่อ" อาคม ฉัตรชัยยันต์ , การลอบยิงสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ, การเสียชีวิตของกุสุมา ธรรมวัฒนะ และนัยนา ตามประกอบ .... ทั้งนี้ จึงคัดลอก "คำต่อคำ" จากสกู๊ปดังกล่าว เพื่อบันทึกเป็นกรณีศึกษา

"คุณนาย" ตายตาไม่หลับ
ทรัพย์สมบัติ "สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ" ก่อเหตุศึกสายเลือด
ที่มา - ปริทรรศน์ ผู้จัดการรายสัปดาห์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 181 ประจำวันที่ 21-27 พฤษภาคม 2533
ฆาตกรรม "นัยนา ตามประกอบ" ที่เป็นข่าวคึกโครมอยู่ในเวลานี้ มิใช่กรณีแรกของการฆ่าในตระกูล "ธรรมวัฒนะ" ถ้าย้อนรอยเดิมกลับไป เริ่มมาตั้งแต่รุ่นพ่อ "อาคม ฉัตรชัยยันต์" ถูกเป่าดิ้นเป็นรายแรก โดยไม่ทราบสาเหตุ ตามด้วย "สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ" ภรรยาผู้ก่อตั้งตลาดยิ่งเจริญ ถูกมือปืนกระหน่ำยิง แต่ดวงยังไม่ถึงฆาตรอดมาได้ จนมาถึงรุ่นลูก "กุสุมา ธรรมวัฒนะ" ถูกฆ่าเป็นคนแรก คดีนี้ตำรวจสามารถตามจับคนร้ายได้ครบคน ปรากฏว่า ผู้เป็นน้าถูกรวบตัวด้วยข้อหาจ้างวาน แต่ในที่สุดก็ถูกปล่อยตัว จนถึงรายล่าสุด - นัยนา - เรื่องราวทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดขึ้น แม้จะต่างกรรม ต่างวาระ ต่างคดีกัน แต่ประเด็นหลักอยู่ที่กองมรดกก้อนโต คนในรวมทั้งคนใกล้ชิดมีส่วนร่วมกันก่อขึ้นมาทุกเรื่อง จนถึงวันนี้ ยังคุมเชิงกันอยู่ด้วยความผวา ด้วยเกรงว่า จะถึงคิวของตัวเองบ้าง "คุณนาย" ผู้ยิ่งใหญ่จนเป็น "เจ้าแม่สะพานใหม่" จึงมิอาจนอนตายตาหลับ

ครอบครัว "ธรรมะวัฒนะ"
กับข่าวการตายอีกครั้ง
ครอบครัว "ธรรมวัฒนะ" กลายเป็นข่าวให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวตัวเป้งได้อีกครั้ง เมื่อนัยนา (ธรรมวัฒนะ) ตามประกอบ ถูกสังหารโหดคารถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 323 สีขาว ทะเบียน 1 ฉ 3603 กทม. รถถูกจอดไว้ข้างบ่อลูกรัง บริเวณหมู่ที่ 4 บ้านหนองมะเขือ ต. ลาดหญ้า อ. เมือง จ. กาญจนบุรี
นัยนาเป็นภรรยาของพ.ต.ท. สมาน ตามประกอบ สว.สส.สน. ดอนเมือง และเป็นลูกสาวของ "สุวพีร์ ธรรมะวัฒนะ" เศรษฐีนีพันล้าน เจ้าของตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ ดอนเมือง ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา นัยนาเป็นลูกสาวคนที่ 8 ในจำนวนลูกทั้งหมด 11 คนของสุวพีร์ เมื่อผู้เป็นแม่เสียชีวิตลง พินัยกรรมจึงต้องถูกเปิดเผยขึ้นว่า ใครได้ครอบครองในส่วนใด หลังจากที่พินัยกรรมได้รับการเซ็นชื่อรับรองการเปิดเผยจากทุกคนในครอบครัวเมื่อ 3 พฤษภาคม 2533 ต่อมาอีก 2 วัน นัยนาก็เสียชีวิตลงด้วยการถูกฆ่าโหด

ย้อนรอยฆ่าในอดีต
นอกจากกรณีของนัยนาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งประเด็นไปที่มรดกของสุวพีร์แล้ว ก่อนหน้านั้น เรื่องราวความวุ่นวาย เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์เงินๆทองๆของครอบครัวธรรมวัฒนะ ยังมีเรื่องราวย้อนหลัง

เรื่องเดิม เมื่อประมาณปี 2520 มีความขัดแย้งที่ตกลงกันด้วยดีไม่ได้ระหว่างสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นชาวบ้านจนถึงกับต้องขึ้นศาล แล้ววันหนึ่ง สุวพีร์ถูกมือปืนบุกยิงได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ ต้องเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างนั้น กุสุมา ธรรมวัฒนะ หรือ "แต๋น" ลูกสาวคนหนึ่ง เป็นผู้เข้ามาดูแลกิจการตลาดแทน ซึ่งก่อนหน้านั้น ลูกชายคือ นพดล ธรรมวัฒนะ เคยช่วยดูแลอยู่ก่อน แต่ต้องไปศึกษาต่อสหรัฐฯ

ต่อมาเมื่อ 2525 กุสุมาก็ถูกยิงตาย ในครั้งนี้ได้ตัวผู้กระทำผิดถึง 6 คน ในจำนวนนั้นเป็นน้าชายของกุสุมาคนหนึ่งคือ บวร ธรรมวัฒนะ น้องชายแท้ๆของสุวพีร์ถูกข้อหาว่า เป็นผู้จ้างวานฆ่า คดีศาลชั้นต้น อุทธรณ์ตัดสินว่า มีความผิดลงโทษฐานในลักษณะเดียวกันคือ มีโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์แก่รูปคดีจึงลดโทษ เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อถึงศาลฎีกา บวร ธรรมวัฒนะถูกยกฟ้อง ส่วนอีก 5 คน ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ในจำนวนนี้ 2 คนคือ หลานสาวของสุวพีร์ที่เกิดจากพี่สาวที่คลานตามกันมา

ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา บวรถูกจำคุกอยู่เกือบ 7 ปี จึงพ้นโทษด้วยสภาพที่ย่ำแย่ในด้านดวงตาและขา ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัว ก่อนหน้านั้น บวรเคยเป็นผู้ใหญ่หมู่ที่ 7 แขวงคลองถนน เขตบางเขน ซึ่งเป็นในตำแหน่งเดียวกับหลานชายคือ เทอดชัย ธรรมะวัฒนะ ลูกชายของสุวพีร์เป็นอยู่ในขณะนี้

เมื่อมีรอยร้าวเกิดขึ้นในความเป็นพี่น้องของสุวพีร์กับบวร ตลอดจนการเป็นน้าหลานกันกับลูกของสุวพีร์แล้ว ทั้งสองครอบครัวจึงบอกศาลาไม่คบกันอีก

"คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่ลงโทษได้ถึงผู้จ้างวานเป็นประวัติศาสตร์ จนกระทั่งกรมอัยการขอไปเป็นกรณีที่ใช้ศึกษา" แหล่งข่าวใกล้ชิดกับผู้ตายกล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"

หลังจากแต๋นเสียชีวิตแล้วก็มีผู้ดูแลกิจการแทน "ห้างทอง ธรรมวัฒนะ" ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 ของสุวพีร์ มีส่วนร่วมในกิจการ ในระยะนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า สุวพีร์ก็มาดูแลกิจการด้วยเช่นกัน ห้างทองดูแลอยู่ได้ไม่นานก็ถูกดักทำร้ายจนต้องขอความร่วมมือจากกก.สส.น.เหนือ ซึ่งทราบว่า คนร้ายมาจากจังหวัดพิจิตร คล้ายกับกรณีของกุสุมา น้องสาวที่ถูกฆ่าตาย ซึ่งเป็นมือปืนมาจากจังหวัดเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้น ตำรวจมือปราบยืนยันว่า การฆ่าล้างตระกูลธรรมวัฒนะนั้นมีเพียงสาเหตุเดียวคือ การแย่งชิงมรดก


"เงิน" มือปืนผู้ลั่นไก
จากกรณีการล้างตระกูลธรรมวัฒนะ ทั้งแต๋นและนัยนาต่างก็มีผู้ที่ถูกกล่าวว่าจะมีส่วนได้ ส่วนเสียใน "เงิน" ของสุวพีร์ทั้งคู่ แต๋นได้รับความไว้วางใจจากแม่ให้ดูแลตลาดซึ่งมีรายได้จากแผงขายของทั้งเป็นเดือนและเป็นวัน (อ่านรายละเอียดในเรื่องประกอบ) ตลาดนี้มีแนวโน้มที่จะขยายไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึง จะเป็นที่มาของรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตลาดเป็นธุรกิจที่คนในตระกูลธรรมวัฒนะกล่าวว่าเป็นธุรกิจของตระกูล

เมื่อเงินผ่านมือหลายฝ่าย จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ก็ทำให้แต๋นถูกฆ่าตาย และน้าแท้ๆติดคุกเพราะจ้างวานฆ่าหลานสาว แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อสุวพีร์จะออกเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐฯได้มอบหมายให้บวร ธรรมวัฒนะ น้องชายแท้ๆดูแลผลประโยชน์นั้น กุสุมาหรือแต๋นทำหน้าที่คุมบัญชี แต๋นได้รายงานให้แม่ที่อยู่ต่างประเทศรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างของบวรในเรื่องเงินๆทองๆ จึงสร้างความโกรธแค้นให้กับบวรเป็นอย่างมาก และต่อมาแต๋นก็ถูกฆ่าตายแล้วผู้กระทำผิดทั้งหมด 6 คนก็ถูกจับรวมทั้งบวร แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมด ผู้ใกล้ชิดบวรถือว่า เป็นการกลั่นแกล้ง ต้องการให้บวรซึ่งมีความสนิทสนมกับแต๋นเป็นอันมากต้องพ้นไปจากเส้นทางมรดก ผู้ใกล้ชิดผู้นี้ กล่าวว่า หากบวรผิดจริง ทำไมศาลฎีกาจึงให้พ้นโทษ

มาถึง พ.ศ. นี้ครอบครัวธรรมวัฒนะก็ต้องเสียทายาทของตระกูลอีกหนึ่งคนคือ นัยนา ตามประกอบ ลูกสาวซึ่งสุวพีร์เคยประกาศตัดความแม่ลูก เมื่อต้นปี 2532 เนื่องเพราะมีการแต่งงานเกิดขึ้น ระหว่างเธอ กับ พ.ต.ท. สมาน ตามประกอบ สว.สส.สน.ดอนเมือง ซึ่งสุวพีร์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

"ไม่ได้กีดกันอะไร แต่อยากให้ พ.ต.ท.สมานได้พิสูจน์ตัวเองก่อน และได้ดูกันนานๆกว่านี้หน่อย ขอให้ยืดเวลาไปอีก 6 เดือนเท่านั้น เขาเองก็ยืนยันว่า ขอรับรองด้วยเกียรติว่า วันที่ 9 มกราคมจะไม่มีพิธีแต่งงาน แต่คนทั้งสองก็ไม่ทำตามคำพูด" เป็นคำสัมภาษณ์ของสุวพีร์ หลังจากที่ประกาศตัดเป็นตัดตายกับลูกสาว

ปัญหาการแต่งงานของนัยนากับพ.ต.ท.สมานครั้งนี้ พี่สาวพ.ต.ท.สมาน ยืนยันว่า น้องของตนเองเป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เคยมีลูกเมียมาก่อน ยอมรับว่า แม้จะเป็นคนจน แต่ใครได้เป็นลูกเขยก็ควรดีใจ

พ.ต.ท. สมาน ตามประกอบ ปัจจุบันอายุ 36 ปี เรียนจบนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วสอบเข้ารับการอบรมเป็นนายร้อยสำรองที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เป็นนายตำรวจที่มีผลงานดีเด่นจนได้รับโล่จากองบังคับการตำรวจนครบาลเหนือ

"ขอยืนยันในความประพฤติของนายตำรวจคนนี้ว่าเป็นตำรวจที่รับผิดชอบในการทำหน้าที่การงาน ไม่เคยมีอะไรเสียหาย สำหรับเรื่องปัญหาในการแต่งงานก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่สงสัยคือ ทั้ง 2 คบกันมานานแล้ว ทำไมญาติฝ่ายหญิงจึงต้องขอดูใจอีก 6 เดือน 2 ปีที่ผ่านมายังดูใจกันไม่พออีกหรือ" ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งของ พ.ต.ท. สมาน กล่าวเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ขึ้น

หลังแต่งงานกันท่ามกลางกระแสข่าวอื้อฉาวแล้ว ทั้งสองจึงร่วมแรงร่วมใจก่อสร้างเรือนหอ ตั้งชื่อว่า "บ้านคล้ายฝัน" ที่ 14/9 หมู่บ้านการ์เด้นโฮมวิลเลจ ดอนเมือง บางเขน ตั้งแต่นั้นมา นัยนาก็ถูกตัดขาดจากแม่ กระทั่งเหตุการณ์ต่อมาเมื่อสุวพีร์ป่วย มีการกล่าวกันว่า นัยนาได้เข้ามาดูแลจนทำให้สุวพีร์หายความขุ่นแค้นที่มีอยู่เดิม เหตุผลนี้ จึงเป็นหนึ่งในจำนวนข้อสันนิษฐานที่ว่า นัยนาจะได้สมบัติในกองมรดกด้วย เมื่อสุวพีร์เสียชีวิตลง มีการเปิดพินัยกรรมให้เป็นที่ทราบกันทั่วไปในวันที่ 3พฤษภาคม 2533 อีก 2 วันถัดมา นัยนาก็ถูกฆ่าตาย ประเด็นหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจับตาคือ การแย่งมรดกกันในระหว่างญาติพี่น้อง หรือมิฉะนั้น สามีคือ พ.ต.ท.สมานก็อยู่ในข่ายต้องจับตา เพราะเป็นผู้มีสิทธิ์ในมรดกที่จะตกทอดมาถึงภรรยา

ความตายที่มาคร่าเครือญาติของตระกูลธรรมวัฒนะ จึงน่าจะมาจากทรัพย์สมบัติต่างๆที่สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ "เจ้าแม่ตลาดสะพานใหม่" เป็นผู้สานจนเป็นตัวเป็นตนในปัจจุบันนี้

มรดกที่ยังไม่ถึงจุดลงตัว
การตายของนัยนาครั้งนี้ กระแสข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์มุ่งเป้าว่า เป็นศึกสายเลือดที่ต้องการตัดตัวหารออกจากกองมรดก เพราะนัยนาถูกตัดจากความเป็นแม่ลูกกับสุวพีร์แล้ว หากแต่บางกระแสก็ว่า การตายครั้งนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับคนนอก นั่นคือ สามีของนัยนา เพราะจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับมรดกครั้งนี้
 
เมื่อปมปัญหาเชื่อมโยงถึงกองมรดกของสุวพีร์มากที่สุด ฉะนั้นการตัดสินก็ต้องอาศัยข้อกฎหมายซึ่งจะชี้ชัดว่า ใครสมควรที่จะได้ มรดก ดังนี้

มาตรา 1635 ลำดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้นให้เป็นไปดังนี้
(1) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (1) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น มีสิทธิ์ในส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่า ตนเป็นทายาทชั้นบุตร

(2) ถ้ามีทายาทตามมาตรา 1629 (3) และทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ หรือ ถ้าไม่มีทายาท ตามมาตรา 1629 (1) แต่มีทายาทตามมาตรา 1629 (2) แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น มีสิทธิ์ได้รับมรดกกึ่งหนึ่ง

ทายาทในวงเล็บหนึ่งหมายถึงบุตรที่สืบเชื้อสายโดยสันดาน วงเล็บสองหมายถึงบิดามารดาของผู้เสียชีวิต วงเล็บที่สามหมายถึงพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้ตาย เพราะฉะนั้นในเรื่องมรดกนี้ พ.ต.ท.สมานมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งในกองมรดกที่เป็นส่วนของนัยนาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น พี่น้องร่วมบิดามารดามีสิทธิ์ได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องคอยดูที่ผลสรุปอีกต่อไป

นอกจากกฎหมายที่กำหนดสิทธิ์ในการรับมรดกของนัยนา อาจโยงถึงสาเหตุการตายแล้ว ที่มาของสาเหตุอื่นๆที่ชักนำให้คิดยังมีอีกหลายกรณี จากคำบอกเล่าของพี่น้องนัยนา ทราบว่า นับนาได้อัดเทปการโต้เถียงในเรื่องมรดกไว้ด้วย และสามีนัยนาก็รับรู้เรื่องราว พร้อมทั้งพี่น้องยังระบุอีกว่า นัยนาไม่มีสิทธิ์ในมรดก นอกจากปมปัญหาเรื่องพินัยกรรมแล้ว เรื่องชู้สาวก็เป็นอีกประเด็นที่ชวนคิด เพราะจากคำบอกเล่าของเทอดชัย พี่ชายนัยนาว่า คบกับพ.ต.ท.สมานมา 5 ปีตั้งแต่เป็นรองสวส. อยู่สน. พหลโยธิน เพิ่งจะทราบว่า พ.ต.ท.สมานเคยมีลูกมีภรรยามาก่อน

สุวพีร์ - คุณนายตลาดยิ่งเจริญ
ใครจะคาดคิดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับครอบครัวธรรมวัฒนะเกิดจากความร่ำรวยอย่างเป็นล่ำเป็นสันของตระกูล ซึ่งเริ่มจากผู้บุกเบิกคือ สุวพีร์ ธรรมวัฒนะเจ้าแม่ตลาดสะพานใหม่ หรือที่เรียกกันในหมู่แม่ค้าพ่อขายในตลาดว่า "คุณนาย"

สุวพีร์ ธรรมวัฒนะเป็นลูกคนจีนโดยพ่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีน เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย มีพี่น้องด้วยกัน 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงซึ่งมักไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง คนกลางคือ สุวพีร์ และน้องชายคนสุดท้องคือ บวร ตระกูลนี้เดิมใช้แซ่ลี้ ต่อมาเมื่อบวรต้องเข้าโรงเรียนจึงเปลี่ยนมาเป็นนามสกุลธรรมวัฒนะ ซึ่งสุวพีร์ก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน จนกระทั่งสุวพีร์แต่งงานก็ยังใช้นามสกุลนี้อยู่ แม้กระทั่งลูกหลานก็ใช้สืบมาเช่นกัน

คนย่านบางลำพูเล่าว่า สุวพีร์เคยมาเป็นเจ้าของร้านทำผมอยู่กับสามี แต่ขณะนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากแล้วก็ย้ายจากไป ลูกชายคนหนึ่งของสุวพีร์เล่าว่า แต่แรกนั้น แม่ของตนเป็นเพียงแม่ค้าพายเรือขายผัก มีความรู้แค่ ป.4 แล้วก็เริ่มทำธุรกิจการค้า โดยมีตลาดให้พ่อค้าแม่ขายเช่าแผงค้าขายกัน

"ข่าวว่าคุณแม่แต่งงานกับทหารอากาศ จนนายทหารอากาศตายไปก็ทิ้งมรดกไว้ให้ มันคนละเรื่องเลย เพราะผมมีหลักฐานว่า แม่กู้เงินจากพระคลังข้างที่ แล้วต้องผ่อนชำระหนี้ ซึ่งรายได้ก็ไม่ค่อยพอกับรายจ่าย แล้วความผูกพันที่แม่สร้างมากว่า 40 ปี ทำอย่างเดียวคือ ตลาด เป็นความผูกพันที่จะช่วยเหลือคนจน เป็นการส่งเสริมนโยบายของรัฐบาล คนที่เข้ามาขายในตลาด เราไม่มีเงินกินเปล่าใดๆทั้งสิ้น มีแค่เงินวันต่อวัน เดือนต่อเดือน จนกระทั่งเราคิดว่า นี่คือ ธุรกิจของตระกูล" ทายาทคนหนึ่งของตระกูลธรรมวัฒนะ กล่าวกับผู้จัดการายสัปดาห์

แม้ทุกอย่างจะมีการก่อกำเนิดจากสุวพีร์ แต่แหล่งข่าวบางคนกล่าวว่า ในช่วงนั้น สุวพีร์ได้ทำกิจกรรมร่วมสองแรงกับบวรน้องชาย จนบวรขอแยกตัวมาทำธุรกิจตัวเองหลังคดีฆาตกรรมกุสุมา

สุวพีร์แต่งงานครั้งแรกกับคนที่ถูกเรียกว่า "อากง" จนกระทั่งมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งคือเทอดชัย หรือ "ผู้ใหญ่แดง" เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 แขวงคลองบางเขน กทม. ในปัจจุบัน ต่อจากนั้นก็เลิกราชีวิตคู่กันไป จะด้วยเหตุใดไม่มีใครทราบแจ้งชัด แล้วมาพบรักกับอาคม ฉัตรชัยยันต์ (อิงคิม แซ่ฉั่ว) ซึ่งมีอาชีพเกี่ยวกับการก่อสร้าง เป็นคนจีนเช่นเดียวกัน

"พ่อชื่อ อาคม มาจากเมืองจีน เป็นคนเก่ง ทำกิจกรรมแยกจากคุณแม่ พ่อมีกิจการหลายอย่างในสมัยที่ท่านมีมีชีวิตอยู่" ผู้สืบตระกูลคนหนึ่งของสุวพีร์กล่าว

อาคมมีลูกติดมาด้วยกัน 2 คน ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับกันดีในหมู่พี่น้องใหม่ จนเมื่อปี 2509 อาคมเกิดปากเสียงกับสุวพีร์ซึ่งจับได้ว่า อาคมมีเมียน้อย และ ต่อมาไม่นาน อาคมก็ถูกยิงตาย

สุวพีร์มีลูกทั้งหมด 11 คน คือ
1) เทอดชัยเกิดจากสามีคนแรก ขณะนี้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 แขวงคลองถนน เขตบางเขน 2
2) ห้างทอง ผู้จัดการ Gate Automation System
3) กุสุมา (ถึงแก่กรรม)
4) นพดล กรรมการผู้จัดการ บ. T.S.I.
5) มัลลิการ์ (หลีระพันธ์) อาจารย์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
6) คนึงนิตย์ ประกอบอาชีพค้าที่ดิน
7)นฤมล (มังกรพาณิชย์) ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเลื่อยจักรมังกรพาณิชย์
8) นัยนา (ถึงแกกรรม)
9) ปริญญา เจ้าของโรงเรียนBangkok Jewelry Institute และกรรมการผู้จัดการ บ. เจมส์เทค
10) นงนุช ช่วยทำกิจกรรมตลาด
11) รุ่งฤดี บุตรบุญธรรมของสุวพีร์ เปิดร้านขายผลิตภัณฑ์Body Glove ที่พัทยา

สุวพีร์ร่ำรวยได้จากธุรกิจจนสามารถ ส่งให้ลูกๆไปเรียนที่สหรัฐฯ ได้ทุกคน หากแต่ลูกๆก็ยอมรับว่า แม่นั้นยังมีนิสัยความเป็นคนจีนอยู่คือ ความรู้สึกที่มีต่อลูกชายและลูกสาว ซึ่งลูกๆกล่าวว่า แล้วแต่ผลงานของแต่ละคน เมื่อปี 2517 ขณะที่ลูกชายคนหนึ่งคือ นพดล กลับมาจากสหรัฐฯ ก็มาดูแลกิจการแทนแม่ด้วยตัวเอง จากนั้นต้องกลับไปที่สหรัฐฯอีก การดูแลจึงตกอยู่กับกุสุมา จนมีเหตุถูกฆ่าตายในปี 2525 

แล้วนพดลก็กลับมาดูแลต่อ แต่ต้องแยกตัวออกไป เพราะมีกิจการส่วนตัวที่ต้องทำ สุวพีร์จึงดูแลกิจการด้วยตัวเองมาโดยตลอดด้วยการนั่งรถเข็น เพราะขาเดินไม่สะดวกเนื่องจากเหตุการณ์เมือครั้งถูกยิง ต่อมาเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนที่จะเสียชีวิต สุวพีร์ได้ขอร้องให้ลูกชายคนหนึ่งมาดูแลกิจการ ถ้าไม่มาจะไม่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งลูกคนนี้ก็ดูแลกิจการมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่มีพี่ชายคนโตเป็นคนช่วยดูแลความปลอดภัยในท้องที่ให้ เพราะเป็นผู้ใหญ่บ้าน จากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิดในตระกูลนี้ว่า ที่แน่นอนที่สุดคือ นัยนา ไม่ใช่ผู้ที่ดูแลผลประโยชน์ของตลาด

หลังจากการกรำงานกับตลาดมา 40 กว่าปีสุวพีร์เสียชีวิตลงเมื่อ 29 เมษายน 2533 ด้วยโรคประจำตัว ขณะนี้ ศพถูกเก็บอยู่ที่โรงเจ ตึกศาลาเมตตาธรรม ของมูลนิธิโพธิภาวนาสงเคราะห์ ซึ่งสุวพีร์เป็นผู้ก่อตั้งมาตั้งแต่แรก โดยบริจาคสถานที่และเงิน

คุณนายตายตาไม่หลับ
"ผู้จัดการายสัปดาห์" ได้พบนพดล ธรรมวัฒนะ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชน หากแต่นพดลที่ปฏิเสธที่จะให้ข่าว บอกเพียงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปิดเผยให้ทราบ เมื่อมีการจับกุมผู้กระทำความผิดได้ก่อนซึ่งเมื่อถึงวันนั้นจะมีการแถลงข่าว และจะให้ผู้สื่อข่าวสามารถซักถามพี่น้องทุกคนได้ พินัยกรรมก็จะเปิดเผยให้ทราบในวันนั้น

แหล่งข่าวคนหนี่งในครอบครัวนี้กล่าวว่า
"ในเรื่องพินัยกรรมก็มีช่องว่าง คนอื่นจะเข้ามาได้ ถ้าเราเปิดพินัยกรรมก็จะเกิดสิทธิ์ เพราะว่า เราต้องมาลำดับทายาทกัน ถ้าพินัยกรรมถูกเผาไป นัยนาก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าพวกผมทำได้ประโยชน์อะไร ผมเชื่อว่าพี่น้อง เรื่องทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนลิ้นกับฟัน แต่ว่าพี่น้องทะเลาะกันก็ไม่ถึงกับต้องฆ่ากัน"

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" เล่นข่าวนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวผู้กระทำความผิด แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า อีกไม่นานต้องรู้แน่ ทุกคนในครอบครัวธรรมวัฒนะก็ต้องระวังตัวกันทุกขณะ บางคนว่า เหมือนกับภาพยนตร์ดีๆนี่เอง ใครจะเอาไปสร้าง เป็นภาพยนตร์ก็สนุกมาก แหล่งข่าวกล่าว ตอนนี้หากพินัยกรรมอยู่กับใครก็ลำบาก เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมีแต่พินัยกรรมที่เป็นเอกสารถ่ายสำเนาไว้เท่านั้น

แม้ความลงตัวของมรดกยังไม่ถึงจุดที่คลี่คลาย ก็คงอีกไม่นานเกินรอ ณ วันนี้ สุวพีร์ได้เสียชีวิต ไปแล้วกว่าครึ่งเดือน หากแต่ความสงบในเรื่องพินัยกรรม ยังเป็นปัญหาให้ทายาทต้องวุ่นวายอยู่ สุวพีร์ก็ยังนอนตาไม่หลับจนกว่าความสับสนจะถึงบทสรุปที่แน่นอน
หมายเหตุ - เรื่องประกอบในฉบับเดียวกันคือ "ต้องอย่างนี้ซิ ถึงจะมีเงินพันล้าน" (เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจในตลาดยิ่งเจริญ)

และเพื่อให้สมบูรณ์กับเรื่องราวที่เกิดชึ้นต่อจากสกู๊ปดังกล่าว จำต้องบันทึกความบางส่วนเพิ่มเติมจาก "วิกิพีเดีย" เข้าถึงเมื่อ 30 กันยายน 2561 เวลา 20.50 น. ว่า
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 ห้างทอง ธรรมวัฒนะ อายุ 50 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัยพรรคประชากรไทย ได้เสียชีวิตอย่างปริศนาด้วยถูกอาวุธปืนที่ศีรษะในบ้านพัก และการเสียชีวิตนี้ได้นำไปสู่การฟ้องร้องในหมู่เครือญาติในตรธกูลธรรมวัฒนะถึง 48 คดีเป็นคดีแพ่ง 43 คดี และคดีอาญา 5 คดี
ห้างทอง ธรรมวัฒนะ มีภรรยา 2 คนคือ นางหยิน เหยา และนางอัญชลี ธรรมวัฒนะ

คดีทั้งหมดยืดเยื้อยาวนานถึง 14 ปี จนวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 คดีความทั้งหมด จบลงด้วยการไกล่เกลี่ย โดยนายเจษฎา พวงทอง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ในฐานะผู้ประนอมข้อพิพาทดังกล่าว

รอยยิ้มชื่นของคนในตระกูลดังกลับมาเยือนอีกครั้ง



สกู๊ปจากหนังสือพิมพ์ปี 2533


สกู๊ปจากหนังสือพิมพ์ปี 2533




สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ


สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ



ตระกูลธรรมวัฒนะ


ตระกูลธรรมวัฒนะ



กงเต๊กในงานศพสุวพีร์


กงเต๊กในงานศพสุวพีร์






นพดล ธรรมวัฒนะ


นพดล ธรรมวัฒนะ